เลือกมือจับประตูอย่างไรให้รองรับการใช้งานหนักได้อย่างยาวนาน

ทำไมมือจับประตูสำหรับการใช้งานหนักถึงต้องเลือกให้เหมาะสม

ในสถานที่ที่มีการเปิด ปิดประตูตลอดทั้งวัน เช่น สำนักงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า หรือร้านค้า มือจับประตูต้องเผชิญกับแรงกด การเสียดสี และแรงกระแทกจากการใช้งานอย่างต่อเนื่อง หากเลือกมือจับประตูที่ไม่มีคุณภาพ อาจเสื่อมสภาพเร็ว พังง่าย หรือทำให้ต้องเปลี่ยนบ่อย ส่งผลต่อทั้ง ต้นทุนการบำรุงรักษาและภาพลักษณ์ของสถานที่

ดังนั้น การเลือกมือจับประตูให้เหมาะกับระดับการใช้งาน เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่นและคุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาว

1. ประเมินระดับการใช้งานของประตู

มือจับประตูที่ใช้ในสถานที่ต่างๆ ต้องรองรับระดับการใช้งานที่แตกต่างกัน หากเลือกไม่เหมาะสม อาจทำให้อายุการใช้งานสั้นกว่าที่ควร

• ประตูที่เปิด ปิดตลอดวัน เช่น ประตูทางเข้าหลักของโรงแรม ห้างสรรพสินค้า และอาคารสำนักงาน จำเป็นต้องใช้มือจับประตูที่มีโครงสร้างแข็งแรง ทนต่อแรงกระแทก และรองรับการใช้งานหนัก

• ประตูที่มีการใช้งานปานกลาง เช่น ประตูห้องประชุม ร้านอาหาร หรือห้องพัก ควรเลือกมือจับที่มีความแข็งแรงพอสมควร แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นเกรดที่รองรับการใช้งานหนักที่สุด

• ประตูที่ใช้งานน้อย เช่น ประตูห้องเก็บของ หรือประตูสำนักงานภายใน ควรเลือกมือจับที่เน้นเรื่องดีไซน์และความคุ้มค่าเป็นหลัก

2. เลือกวัสดุของมือจับประตูให้เหมาะกับการใช้งานหนัก

วัสดุของมือจับประตูส่งผลต่ออายุการใช้งาน ความทนทาน และการดูแลรักษา ควรเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับประเภทของประตูและสภาพแวดล้อมของสถานที่

• สแตนเลส Stainless Steel แข็งแรง ทนต่อสนิมและการกัดกร่อน เหมาะกับสถานที่ที่ต้องการความทนทานสูง เช่น โรงพยาบาล โรงแรม และอาคารพาณิชย์

• ทองเหลือง Brass มีความแข็งแรงและให้ความหรูหรา เหมาะกับโรงแรมระดับสูง หรืออาคารที่ต้องการเสริมภาพลักษณ์

• อะลูมิเนียม Aluminium น้ำหนักเบาและดูทันสมัย แต่รับน้ำหนักได้น้อยกว่าวัสดุอื่น เหมาะกับสำนักงานและร้านค้า

• โลหะผสมเคลือบพิเศษ เช่น โครเมียมหรือเทคโนโลยีเคลือบป้องกันรอยขีดข่วน เพิ่มความทนทานและลดการดูแลรักษา

3. ตรวจสอบมาตรฐานความทนทานของมือจับประตู

มือจับประตูที่ใช้งานหนักควรผ่านมาตรฐานที่รับรองคุณภาพและความแข็งแรง เช่น

• ANSI/BHMA American National Standards Institute / Builders Hardware Manufacturers Association

  • Grade 1 ทนทานสูงสุด เหมาะสำหรับประตูที่มีการใช้งานหนัก เช่น อาคารพาณิชย์และโรงแรม

  • Grade 2 รองรับการใช้งานปานกลาง เช่น ร้านอาหารและสำนักงาน

  • Grade 3 สำหรับการใช้งานทั่วไปภายในบ้าน

• มาตรฐาน EN European Norm ใช้ในยุโรปเพื่อรับรองความแข็งแรงและอายุการใช้งาน

• มาตรฐาน มอก. มาตรฐานอุตสาหกรรมของไทย ที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่ามือจับประตูมีคุณภาพ

4. เลือกกลไกของมือจับประตูให้เหมาะสม

กลไกภายในของมือจับประตูส่งผลต่อการใช้งานในระยะยาว หากเลือกแบบที่รองรับแรงกดและแรงกระแทกได้ดี จะช่วยลดโอกาสที่มือจับจะเสียหายก่อนเวลาอันควร

• ระบบลูกปืน Ball Bearing System ทำให้มือจับหมุนได้อย่างราบรื่น ลดการสึกหรอ

• ระบบสปริงเสริมแรง Heavy-Duty Spring Mechanism ป้องกันไม่ให้ก้านโยกหย่อนหรือเสียรูปจากการใช้งานหนัก

• ระบบล็อกอัตโนมัติ Auto Locking System ช่วยเพิ่มความปลอดภัย และป้องกันการลืมล็อกประตู

5. ติดตั้งมือจับประตูให้ถูกต้องเพื่อยืดอายุการใช้งาน

แม้ว่าจะเลือกมือจับประตูที่ดีเพียงใด แต่ถ้าติดตั้งไม่ถูกต้อง ก็อาจทำให้เกิดปัญหาได้ ควรติดตั้งมือจับที่ระดับความสูงมาตรฐาน 90-100 ซม. จากพื้น เพื่อให้ใช้งานสะดวกทั้งสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ

ตรวจสอบให้แน่ใจว่า สกรูและจุดยึดแน่นหนา หากพบว่ามือจับเริ่มคลอน ควรขันสกรูให้แน่นเพื่อป้องกันความเสียหาย

6. ดูแลรักษามือจับประตูให้ใช้งานได้นานขึ้น

เพื่อให้มือจับประตูมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ควรดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ

• ทำความสะอาดเป็นประจำ ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดมือจับเพื่อลดการสะสมของฝุ่นและคราบสกปรก

• หล่อลื่นจุดหมุน หยอดน้ำมันหล่อลื่นที่กลไกภายในทุก 6 เดือนเพื่อลดการสึกหรอ

• หลีกเลี่ยงสารเคมีแรงๆ ไม่ควรใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เพราะอาจทำให้พื้นผิวของมือจับเสียหาย

การเลือกมือจับประตูสำหรับการใช้งานหนัก ต้องพิจารณา ระดับการใช้งาน วัสดุที่แข็งแรง มาตรฐานความทนทาน และระบบกลไกภายใน สถานที่ที่มีการเปิด-ปิดประตูบ่อยครั้ง ควรเลือกมือจับที่ผ่านมาตรฐาน ANSI Grade 1 หรือ EN Standard และใช้วัสดุที่ทนทานต่อแรงกดและการเสียดสี เช่น สแตนเลสหรือทองเหลือง

นอกจากนี้ การดูแลรักษามือจับประตูให้สะอาดและตรวจสอบความแน่นของสกรูเป็นประจำ จะช่วยให้มือจับประตูใช้งานได้อย่างยาวนาน ลดต้นทุนในการเปลี่ยนใหม่ และทำให้สถานที่ของคุณดูดีอยู่เสมอ